บทความ โหราพยากรณ์

ดูดวงส่วนตัวทางโทรศัพท์

วันขึ้นปีใหม่ของไทย

วันที่ 1 มกราคมของทุกปี ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ อันเป็นการนับแบบสากล ที่เหมือนกันทุกประเทศในปัจจุบัน ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ปี” ว่าหมายถึง เวลาชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ในหนังสือวันสำคัญฯ ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้บอกถึงความเป็นมาของวันปีใหม่สรุปได้ว่า ครั้งโบราณการนับวันขึ้นปีใหม่ของแต่ละชาติ จะกำหนดขึ้นตามความนิยมและความคิดเห็นของชนชาตินั้น ๆ มิได้เป็นวันเดียวกันเช่นปัจจุบัน ในส่วนของไทยก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่เป็น 4 ระยะคือ

เริ่มแรกตามจารีตของไทยแต่โบราณได้ถือเอาวันแรม ๑ ค่ำเดือนอ้าย(๑) เป็นวันขึ้นปีใหม่ เหมือนหลาย ๆ ชาติที่ถือว่าฤดูเหมันต์หรือฤดูหนาวเป็นการเริ่มต้นปี ด้วยว่าคนสมัยก่อนเห็นว่าฤดูหนาว เป็นช่วงผ่านพ้นจากฤดูฝนอันมืดครึ้ม สว่างเหมือนเวลาเช้า ส่วนฤดูร้อนเป็นช่วงที่สว่างเหมือนเวลากลางวัน และฤดูฝนเป็นเวลามืดหม่นคล้ายกลางคืน เขาจึงนับฤดูเหมันต์หรือซึ่งมักตรงกับเดือนอ้ายที่สว่างเหมือนเวลาเช้าเป็นต้นปี นับช่วงฤดูร้อนเป็นกลางปีและฤดูฝนเป็นปลายปี

ต่อมาในระยะที่สอง เราได้มีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันขึ้น ๑ ค่ำเดือนห้า(๕) คือราวช่วงสงกรานต์ อันเป็นการเปลี่ยนจารีตไปตามคติพราหมณ์ที่นับวันตามจันทรคติ โดยใช้ปีนักษัตรและการเปลี่ยนจุลศักราชเป็นเกณฑ์

ระยะที่สาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 เราก็ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายนอันเป็นนับวันทางสุริยคติ ซึ่งได้ประกาศใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2432

ระยะที่สี่ คือในปี พ.ศ.2483 รัฐบาลได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ไทยให้เป็นไปตามแบบสากลนิยม คือวันที่ 1 มกราคม ซึ่งมีเหตุผลว่าวันดังกล่าวกำหนดขึ้นโดยการคำนวณด้วยวิทยาการทางดาราศาสตร์ และเป็นที่นิยมใช้กันมากว่าสองพันปี อีกทั้งไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนา หรือการเมืองของชาติใด แต่สอดคล้องกับจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณที่ใช้ฤดูหนาวเป็นต้นปี ดังนั้น เราจึงมีวันขึ้นปีใหม่ตรงกับนานาประเทศ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484เป็นต้นมา (ปี พ.ศ.2483 เราจึงมีแค่ 9 เดือนและปี พ.ศ.2484 มี 12 เดือน จากนั้นปีต่อ ๆ มาก็มีปีละ 12 เดือนตามปรกติ)


อนึ่ง การนับวันเดือนปีแบบโบราณ ที่เรียกว่า “จันทรคติ” (ซึ่งเรียกวันขึ้น /วันแรม ๑ ค่ำ ๒ ค่ำ ฯลฯ ) นี้อาจารย์สมบัติ จำปาเงินได้กล่าวในหนังสือ “ประทีปความรู้คู่ไทย” ว่าเป็นการนับวันเดือนปีโดยถือการโคจรของดวงจันทร์รอบโลกเป็นหลัก โดยปีที่มี 354 วัน เรียกว่า “ปีจันทรคติปรกติ” แต่ถ้าปีไหนเป็น “ปีอธิกวาร” ก็จะมี 355 วัน และถ้าปีไหนเป็น “ปีอธิกมาส” คือมีเดือนแปดสองหน ก็จะมี 384 วัน

การที่มีอธิกวารวารและอธิกมาส (อธิก อ่านว่า อะทิกกะ แปลว่า เกิน/เพิ่ม และวาร คือ วัน มาสคือเดือน) เพิ่มขึ้นในบางปีนั้น เป็นการชดเชยวันที่ขาดหายไป ด้วยว่าเมื่อเรานับวันตามสุริยคติในเวลาต่อมา (คือการนับวันเดือนปี ตามระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งรอบหนึ่ง ๆ จะใช้เวลา 365 วัน 5 ชม. 49 นาที) ก็จะทำให้ปีสุริยคติและปีทางจันทรคติต่างกันถึงปีละ 10 - 10 วันเศษ ซึ่งหากไม่มีการชดเชยเพิ่มวันและเดือนทางจันทรคติแล้ว นานไปก็จะทำให้การนับวันเดือนปีคลาดเคลื่อนผิดไป

ดังสมัยโรมัน เมื่อจูเลียส ซีซาร์เรืองอำนาจ ปรากฏว่าการนับวันเดือนปีทางจันทรคติได้คลาดไปจากความเป็นจริงถึง 3 เดือน ฤดูกาลแทนที่จะเป็นฤดูหนาวกลับยังเป็นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งผิดจากสภาพความเป็นจริง จูเลียส ซีซาร์ จึงให้ยกเลิกการนับตามจันทรคติและหันมาใช้การนับทางสุริยคติแทน โดยมีการคำนวณขยายปีออกไป ให้ระยะเดือนและฤดูตรงกับความเป็นจริง คือให้มี 365 กับ 1/4 วัน แต่เพื่อความสะดวกแก่การนับ จึงกำหนดใหม่ให้ปีปรกติมี 365 วัน ซึ่งขาดไป 6 ชม.หรือ 1/4 วัน พอครบ 4 ปี ก็เพิ่มอีกวัน เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน ซึ่งปีนั้นจะมี 366 วัน

ซึ่งการนับวันเดือนเช่นนี้ เป็นการนับตามปฏิทินระบบซีซาร์ที่ประกาศใช้เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ.497 โดยได้กำหนดให้เดือนต่าง ๆ มี 31และ 30 วันสลับกันไป เว้นแต่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันแต่ถ้าเป็นปีอธิกสุรทิน จึงเพิ่มเป็น 30 วัน

ครั้นสมัยจักรพรรดิออกุสตุสก็ได้มีการปรับปรุงปฏิทินใหม่เรียกว่าแบบยูเลียน กำหนดให้เดือนหนึ่งมี 30 วันและมีวันเพิ่มอีก 5 วัน เรียกอธิกวาร ลดกุมภาพันธ์เหลือ 28 วัน ปีไหนเป็นปีอธิกสุรทินจึงมี 29 วัน และไปเพิ่มวันในเดือนสิงหาคม จาก 30 วันเป็น 31 วัน ซึ่งแม้จะสะดวกแต่ก็มีข้อบกพร่องที่ทำให้วันเวลาผิดไปจากความเป็นจริง คือทุก 128 ปี วันจะเกินจริงไป 1 วัน ซึ่งหากปล่อยนานไป วันเวลาก็จะผิดมากขึ้นแน่นอน

ดังนั้น ในปี พ.ศ.2125 สันตะปาปา เกรกอรี่ที่ 33 แห่งโรม ก็ได้ประกาศเลิกใช้ปฏิทินแบบยูเลี่ยน และให้มาใช้แบบเกรกอเรียนแทน โดยกำหนดเพิ่มจากปฏิทินยูเลี่ยนว่าหากปีใดตรงกับปีศตวรรษ เช่น ค.ศ.1700 ค.ศ.1800 ฯลฯ ห้ามมิให้เป็นปีอธิกสุรทิน ยกเว้นว่าปีนั้นจะหารด้วย 400 ลงตัว เช่น 1600, 2000, 2400 ฯลฯ จึงจะให้เป็นปีอธิกสุรทินเหมือนเดิม ซึ่งการกำหนดเช่นนี้ทำให้วัน เดือนปี แม้จะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็ต้องใช้เวลากว่าสามพันปี จึงจะผิดไป 1 วัน ดังนั้น ปฏิทินเกรกอเรียนจึงเป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน


สำหรับประเทศไทย ได้มีการใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามสุริยคติอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2432 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งแม้เราจะใช้ปฏิทินทางสุริยคติ แต่ก็ยังใช้การนับทางจันทรคติควบคู่ไปด้วย
การนับทางจันทรคติที่ถือการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ 12 ครั้ง 12 เดือนเป็นหนึ่งปีนั้น รอบหนึ่ง ๆ จะใช้เวลา 29 วันครึ่ง ดังนั้นในเวลา 1 เดือน หากนับเพียง 29 วัน เวลาก็จะขาดไป 12 ชม. แต่หากนับ 30 วันก็จะเกินไป 12 ชม.

ดังนั้น เขาจึงนับ 59 วันเป็นสองเดือนโดยให้นับเดือนคี่มี 29 วัน ส่วนเดือนคู่มี 30 วัน แต่ละเดือนจะแบ่งเป็น 2 ปักษ์ ๆ ละ 15 วันเรียกวันข้างขึ้นและข้างแรม (เดือนคี่นี้บางทีก็เรียกว่า เดือนขาด ได้แก่ เดือน 1 , 2, 5, 7, 9 และ 11 เป็นเดือนที่มีวันข้างขึ้น 15 วัน แต่วันข้างแรมมีเพียง 14 วันคือมีเพียงแรม 14 ค่ำ เท่านั้น ส่วนเดือนคู่หรือเดือนเต็มได้แก่ เดือน 2, 4, 6, 8 ,10 และ 12 คือ มีวันข้างขึ้นและวันข้างแรมอย่างละ 15 วัน เช่น ขึ้น 1 ค่ำเดือนยี่(๒) จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนยี่(๒) และ แรม ๑ ค่ำเดือนยี่(๒)ถึงแรม ๑๕ค่ำเดือนยี่(๒)เป็นต้น

ซึ่งการนับทางจันทรคตินี้เมื่อนับวันกันจริง ๆ แล้ว ปรากฏว่าปีจันทรคติจะมีแค่ 354 วัน น้อยกว่าวันทางสุริยคติถึง 11 วัน ซึ่งโลกเราก็ยังโคจรไม่ครบรอบดวงอาทิตย์ ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการเพิ่มอธิกมาส คือเพิ่มเดือนแปดอีกเดือน ที่ชาวบ้านเรียกแปดสองหน ในรอบ 2 - 3 ปี

ส่วนอธิกวารจะเป็นการเพิ่มวันในเดือนเจ็ด(๗) อีก 1 วันทำให้เดือนเจ็ด(๗)ปีนั้นเป็นเดือนพิเศษ คือมีวันแรม ๑๕ ค่ำด้วย ซึ่งปรกติเดือนคี่จะมีแค่ ๑๔ ค่ำเท่านั้น การเพิ่มดังกล่าวเป็นการคำนวณเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลที่ปรากฏจริงของโลกนั่นเอง

ส่วนการนับทางสุริยคติก็คือการนับวัน เวลาตามวิถีโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ จะบอกเป็นวัน เดือน และปีศักราช เช่น วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2548 หรือ ค.ศ.2005 เป็นต้น

โดยทั่วไป มวลมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ต่างก็มีความเชื่อที่สอดคล้องกันในเรื่องการขึ้นปีใหม่ว่าเป็นช่วงที่ดีแห่งการเริ่มต้น และการรับสิ่งใหม่ที่มงคลแก่ชีวิตเข้ามา จึงมักมีงานรื่นเริงเฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่อย่างสนุกสนาน

โดยเฉพาะคนไทยเรา นอกจากวันที่ 1 มกราคมอันเป็นปีใหม่แบบสากลแล้ว ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เรายังถือเป็นวันปีใหม่แบบไทยอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เราได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ที่ดี ๆ ถึงปีละ 2 ครั้ง จึงควรที่คนไทยเราทุกคนจะได้ใช้ฤกษ์ดังกล่าวตั้งจิตอธิษฐานที่จะรักตัวเราเองให้มากขึ้น ด้วยการบำรุงรักษาตัวเราให้ดีทั้งกาย วาจาและใจ และเผื่อแผ่ความรักนี้ไปยังเพื่อนร่วมโลกอื่น ๆ เพื่อโลกเราใบนี้จะได้เป็นโลกที่น่าอยู่ต่อไป

สวัสดีวันปีใหม่พา
ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม
ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า
ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปราณี
ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์
ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่
ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ
ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์
สวัสดีวันปีใหม่เทอญ
ที่มา/อ้างอิง/ผู้เขียน : อมรรัตน์ เทพกำปนาท
หมายเหตุ : เนื้อหาข้างต้นสร้างขึ้นโดยบุคคลทั่วไปจากแหล่ง URL เผยแพร่แก่สาธารณะเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น
บันทึก/เผยแพร่ : วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ.2552
อ่าน ใช้งาน บทความวันขึ้นปีใหม่ของไทย 005 แล้ว เขียนรีวิว และคลิก Like , Share ให้ด้วยนะครับ :)   4.93 จาก 92 รีวิว
ฤกษ์ออกรถ #year#
ฤกษ์ยามที่ดี ฤกษ์ออกรถใหม่ มีนาคม-เมษายน
คติโหราศาสตร์
ดวงชะตาเป็นเพียงเครื่องชี้บอก แนวทางชีวิต
สีรถถูกโฉลก สีรถประจำวันเกิด
สีรถถูกโฉลก เป็นศิริมงคล ส่งเสริม นำโชค
สีเสื้อประจำวัน สีเสื้อถูกโฉลก
วิธีเลือกสีเสื้อประจําวัน เพื่อเสริมราศี
ดวงพิชัยสงคราม ยันต์พิชัยสงคราม
ยันต์ที่มีความสำคัญมากในโหราศาสตร์ไทย
โหราศาสตร์กับชีวิต
เกิดวันเดียวกัน แต่ชีวิตแตกต่างราวฟ้ากับดิน
วันมหาสงกรานต์
ประเพณีไทยเดิมถือว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่
ตำนานเทวดามิตรศัตรู
ปฐมเหตุว่าด้วยตำนานเทวดา มิตร ศัตรู
เตรียม 6 ขั้นตอนก่อนดูดวง
ดูดวงกับหมอดู ต้องเตรียมอะไรบ้าง ถามอะไรได้บ้าง
การนับวันทางโหราศาสตร์
การเปลี่ยนวันใหม่ ทางจันทรคติที่ใช้ในโหราศาสตร์
วันขึ้นปีใหม่ของไทย
ครั้งโบราณวันขึ้นปีใหม่ จะกำหนดขึ้นตามความนิยม
ทิศเทวดา ผีหลวง หลาวเหล็ก
ทิศผีหลวง ทิศหลาวเหล็ก ทิศเทวดา-เทพเจ้า
ยามอุบากอง
ตำรายามอุบากอง ที่คนรุ่นปู่ย่าตายายรู้จักกันดี
ความเป็นมาประกาศสงกรานต์
ประวัติที่มา ประกาศสงกรานต์ เริ่มมีตั้งแต่สมัยใด
สะเดาะเคราะห์ (พิธีใหญ่)
รับพระเสวยอายุก็ดี จะมาส่งพระเสวยอายุก็ดี
ประวัติดวงเมืองกรุงเทพฯ
กว่า 200 วันเกิดของกรุงรัตนโกสินทร์
ในหลวงกับวิชาโหราศาสตร์
พระราชอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9
ทิศโบราณ 32 ทิศ
ทำความรู้จักทิศโบราณ ชื่อแปลกๆ ทั้ง
ตั้งชื่อ ทักษา
ศาสตร์การตั้งชื่อ ตำราภูมิทักษา ทักษาปกรณ์
ตั้งชื่อ เลขศาสตร์ อายตนะ 6
ตำราตั้งชื่อ มหายตนะ ตำราอายตนะ 6 ทำนายชื่อ
ตั้งชื่อ เลขรหัสชีวิต
ตำรารหัสชีวิต ถอดผลจากเลขศาสตร์ ทำนายสรุป
ตั้งชื่อ อักษรเทพเจ้า ฯ
อักษรเทพเจ้า อักษรหลาวเหล็ก อักษรผีหลวง
วันห้ามต่างๆ ของไทย
วันห้ามตามโบราณ แต่งงาน ขึ้นบ้าน เผาผี
การเปลี่ยนปีนักษัตร
รอบการเปลี่ยนปีนักษัตร ที่ใช้ในทางโหราศาสตร์ไทย
สิ่งนำโชค 12 ราศี
สิ่งของนำโชคของชาวราศีต่างๆทั้ง 12 ราศี
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันเกิดแต่ละวัน ลักษณะ บทสวดมนต์บูชา
เวลามาตรฐานประเทศไทย
ประวัติความเป็นมา ก่อนที่จะเป็นเวลามาตรฐาน
สะเดาะเคราะห์ (ด้วยตัวเอง)
การแก้เคราะห์กรรมที่ดี ก็ทำได้ไม่ยาก
ทำนายนิสัยตามเวลาเกิด
ดวงยามอัฏฐกาล ทำนายนิสัยใจคอ จากเวลาเกิด
นิมิตเคล็ดลาง เขม่น
ลางเขม่น ตาเขม่น ตากระตุก เปลือกตากระตุก
ประวัติชื่อเดือนไทย
ประวัติชื่อเดือนไทย ชื่อเดือนแต่ละเดือนที่ใช้กัน
ดูลักษณะรูปก้นหอยในนิ้วมือ
รูปก้นหอยในลายนิ้วมือ สัมพันธ์กับ ดวงชะตาอย่างไร
ดูความรักจากการสวมแหวน
ชอบสวมแหวนนิ้วนาง เป็นคนที่อ่อนหวาน
การทำนายราศี ลัคนาราศี
วิธีการอ่านดวงดวงใน นิตยสาร หนังสือพิมพ์
คำถามดูดวงที่ถามบ่อย
คำถามดูดวง ชีวิตเป็นยังไง เมื่อไรจะมีแฟน
ความรักของ 12 นักษัตร
ดวงความรักของผู้ที่เกิด ในแต่ละปีนักษัตร
มารยาทของโหร
มารยาทของโหร ผู้ที่มีอาชีพเป็นหมอดู
อัญมณีแห่งโชคลาภ
อัญมณีเสริมโชคลาภและสิริมงคลเฉพาะบุคคล
ทำนายเลขบัตรประชาชน
เลขรหัสบัตรประจำตัวประชาชนนั้นมี 13
วิธีดูค่ำแรมจากดวงจันทร์
วิธีดูขึ้นแรมค่ำจากดวงจันทร์เบื้องต้น
ทำนายไฝบนใบหน้า
ไฝบนใบหน้าร่างกาย มีความหมายอย่างไร
วันเกิดบอกความเจ้าชู้ได้
รู้หรือไม่ว่า วันเกิดก็สามารถบอกความเจ้าชู้ได้
ดวงหนุ่มสาว 12 ราศี
ทำนายดวง หนุ่มสาวทั้ง 12 ราศี เป็นอย่างไรบ้างมาดูกัน